คนส่วนใหญ่คิดว่าความสำเร็จเกิดขึ้นตอนที่เขาได้ค้นพบวิธีสู่ความสำเร็จ เมื่อก่อนอินดี้ก็คิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น เลยพยายามค้นคว้าหาความรู้ ศึกษาทฤษฎีที่จำเป็นต่างๆ มากมาย ร่ำเรียนอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งใบประกาศ ผ่านบททดสอบมากมายจนเป็นที่ยอมรับของสังคม

หลังจากเรียนจบ ได้ทำงานในองค์กรระดับประเทศถึงระดับโลกกว่า 10 ปี จู่ๆ วันหนึ่งก็เกิดความคิดแวบเข้ามา ว่าเอ๋ที่ผ่านมาก็ทำงานอย่างหนัก มีความซื่อสัตย์และอดทน มีคุณสมบัติเพรียบพร้อม แต่ทำไมทุกๆ สิ้นเดือนเงินถึงไม่พอใช้ และมันก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ

ทุกๆ ปัญหาที่เราเจอต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้เกิดมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในโลกใบนี้ และตามสถิติ ทุกๆ อย่างที่เราคิดได้หรือปัญหาที่เราพบเจอต้องมีคนอย่างน้อย 5 คนใน 100 คนที่ประสบปัญหาเช่นกัน และส่วนใหญ่ปัญหาเหล่านั้นได้มีผู้ค้นพบวิธีการเป็นผู้พิชิตไว้แล้ว (เคยลองหาคำตอบอย่างจริงจังแล้วหรือยัง)

การเริ่มต้นค้นหาสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ หากวันนี้คุณเอาแต่คิดแล้วไม่ลงมือทำ คุณก็จะไม่มีวันได้เป็นผู้ค้นพบอย่างแน่นอน เพราะโอกาสไม่วิ่งเข้าหาคนที่อยู่เฉยๆ ด้วยความได้เปรียบที่ไม่แฟร์นี้ทำให้ผู้ที่เตรียมความพร้อมอยู่เสมอมักจะเป็นผู้ที่ถูกเลือก เมื่อก่อนการสร้างเว็บไซต์อาจจะยากแต่ถ้าคุณลองเปิดใจค้นคว้าหาข้อมูลแล้วเลือกระบบดีๆ คุณจะได้เว็บไซต์หรูๆ (ดูของเราสิ) ถ้าขยันทุ่มเทหน่อยก็เสร็จได้ใน 2 วัน (มีคนทำได้มาแล้ว ไม่งั้นไม่โม้ให้ฟังหรอก)

คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้สร้างไปเสียทุกอย่าง แต่นำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาปรับปรุงให้ใช้งานได้อย่างชาญฉลาดและเรียนรู้ฝึกฝนอย่างมีวินัยต่างหากคือคำตอบ เหมือน iPhone ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาโทรศัพท์ที่มีใช้กันอยู่แล้ว

หลายๆ คนพลาดมากกับเรื่องนี้ ดูอย่างนักเรียนนักศึกษาในปัจจุบันที่ทุ่มเทกับการเรียนอย่างหนัก จ่ายค่าเรียนไปเป็นล้าน เพื่อที่จะจบออกมาทำงานได้เงินเดือนหลักหมื่น (เป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยจะฉลาดเท่าไหร่เมื่อเทียบกับระบบการศึกษาในปัจจุบันที่ล้มเหลว) เมื่อเรียนจบมาก็ไม่สามารถที่จะมีรายได้เพียงพอ (ตามสภาวะเศรษฐกิจเงินเฟ้อในปัจจุบัน)

คนที่เรียนไป ทำงานไปจะได้เปรียบมาก (ทำด้วยความหลงไหลด้วยนะ) คุณคงเคยเห็นว่าคนสำเร็จส่วนใหญ่เรียนไ่ม่จบแต่ประสบความสำเร็จ นั่นมันเกิดจากสภาวะของการตื่นรู้ของเขามันชัดเจนมากพอที่จะนำทางเขาสู่เส้นทางของการลงมือทำ (ไม่ใช่เรียนแล้วขี้เกียจนะ)

คำว่าใครๆ ก็ทำได้ (จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนอย่างแน่นอน) เราทุกคนเกิดมาด้วยต้นทุนที่เท่ากัน การเห็นทุกอย่างให้เป็นไตรลักษณ์ (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป) สิ่งเหล่านี้ ทุกๆ การเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งโอกาสเสมอ คุณต้องมีสติกำหนดรู้ถึงผลลัพธ์ด้วยตัวเอง (เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัจตัง) และในระหว่างที่คุณกำลังลองผิดลองถูกอยู่นั้น คุณก็รับจ้างทำไปด้วยเลย (แบบนี้ทำอยู่ไม่เสียหาย แก้ได้ก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ปรึกษาคนอื่นผ่านสื่อสังคมต่างๆ ได้นี่นา อย่าลืมว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก)

แล้ว Copy เลยได้ไหม?

การเลือกที่จะเลียนแบบคนสำเร็จ เป็นหนทางลัดสู่ความสำเร็จ หลายๆ คนมองว่าการทำแบบนี้มันผิด แต่จริงๆ แล้วผิดถูกเราเป็นคนคิดเอง กำหนดเองทั้งนั้น ดังนั้น หาครูที่เป็นเบอร์หนึ่งสำหรับคุณแล้วไปฝากตัวเป็นศิษย์ได้แล้ว (อย่ายึดติดกับครูสอนภาษาอังกฤษที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะมันจะทำให้คุณเสียเวลา)

เพราะสภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจออฟไลน์น่ะสิ การสร้างแบรนด์และโดดเด่นในโลกออนไลน์นั้น ใช้ระยะเวลาอันสั้นต้นทุนต่ำ แต่ให้ผลลัพธ์แบบทวีคูณ จากที่คุณจะพบลูกค้าได้วันละ 10 คน ตอนนี้ระบบออนไลน์สามารถพาธุรกิจของคุณได้เจอคนเป็นล้านได้ในเวลาเดียวกัน

จงนำพาสิ่งที่คุณเป็นออกมาโปรโมทได้แล้ว ผลลัพธ์คุณจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองเมื่อมีผลตอบรับจากลูกค้าเข้ามาเท่านั้น และในเวลานั้น คุณก็จะได้เรียนรู้การปรับตัวได้ด้วยตัวเอง

คำถามนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นที่จะเป็นคนตอบ เพราะสิ่งที่คุณต้องตรวจสอบและกำหนด มีดังนี้

1. หากคุณต้นทุนต่ำ ทำคนเดียวไปก่อนได้หรือไม่
2. หากทำคนเดียวไม่ได้ คุณพอจะหาแนวร่วมทางธุรกิจได้จากทางไหน
3. เมื่อได้มาแล้ว กำหนดบทบาทหน้าที่ดีพอแล้วหรือยัง
4. ถ้ายัง คุณพอจะขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง
5. คุณมีแผนการที่จะตอบแทนคนเหล่านั้นอย่างไร
6. คุณต้องการเวลานานแค่ไหน (อย่าให้นานมากจนเกินไป เพราะไฟในตัวจะมอดดับลง)
7. องค์ประกอบอะไรบ้างที่คุณยังต้องการ เรียนรู้จากใครได้บ้าง (เลือกต้นแบบผลลัพธ์ไปเลย)
8. คุณมีทักษะด้านใดบ้างที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจนี้ที่คุณเลือก (ทักษะด้านการขายและวางกลยุทธ์สำคัญมากๆ)
9. คุณต้องวางงานของคุณควบคู่ไปกับการทำบนออนไลน์ด้วย

ความสำเร็จเริ่มต้นตอนที่ “คุณตัดสินใจ”

จุดเริ่มต้นของความสำเร็จเริ่มต้นขึ้นในวันที่คุณ “ตัดสินใจ” เพราะวันนั้นองค์ประกอบต่างๆ ที่ปรากฏจะชัดเจนขึ้น สิ่งรอบตัวที่ดูเหมือนธรรมดา จะไม่ธรรมดาอีกต่อไป

เริ่มอย่างไร?

มีคนจำนวนมากเป็นพวก “ถตถต” (คำๆ นี้เราจะใช้บ่อยในสถาบันนี้นะคะ เพราะย่อมาจาก เถรตรงและถังแตก) 

วิธีการก็คือ คุณต้องเริ่มทำความเข้าใจกับตัวเองอย่างจริงจัง ถามว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตให้เต็มศักยภาพแล้วหรือยัง

คอร์สเรียนภาคปฏิบัติเชิงลึก คลิกที่นี่