เปลี่ยนคุณที่ระดับจิตใต้สำนึก

พระภิกษุซึ่งฉันอาหารเพียงเพื่ออยู่ ไม่หลงไหลในรูป รส กลิ่น เสียง กุฏิเล็กๆ มีไว้เพื่ออาศัยหลบแดดหลบฝน จีวรสามารถใช้ได้ยาวนานเป็นสิบปี และสมุนไพรหรือยารักษาโรคพื้นฐานที่มีไว้เผื่อยามฉุกเฉิน นอกจากนั้นเป็นส่วนเกิน แม้จะต้องเจ็บป่วยอย่างหนัก เมื่อสามารถแยกจิตออกจากกายก็จะไม่รู้สึกทุกข์ใดๆ และพร้อมที่จะละสังขารอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ จากกรณีตัวอย่าง เช่น พระ ซึ่งไม่มีทรัพย์สินใดๆ เป็นส่วนตัว และมีปัจจัยสี่ที่เป็นเพียงเพื้นฐานจริงๆ แต่กลับมีความสุขในระดับสูงสุดตามทฤษฏีทางจิตวิทยาของมาสโลว์ได้ แสดงว่าความสุขที่จริงแท้ไม่ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคนรวยอาจมีความสุขมากกว่าคนจน เพราะเขาได้รับความสะดวกสบายมากกว่า แต่เมื่อพิจารณาดีๆ จะพบว่าสุขภาพเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต แต่บางคนไม่เคยทะนุถนอมและดูแลรักษาเลย จนเมื่อเจ็บป่วยจึงได้ตระหนัก สิ่งใดๆ จะไม่มีค่าเลยหากปราศจากสุขภาพที่ดี เพราะปัญหาทางด้านสุขภาพสามารถทำลายความสำเร็จทุกอย่างที่เคยมีมาได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

1. ทำซ้ำขั้นตอนที่หนึ่งถึงสามของ Magic Practice Number 1 – Count Your Blessings: เขียนพรสิบประการ เขียนว่าทำไมคุณถึงรู้สึกขอบคุณ อ่านรายการของคุณอีกครั้ง และในตอนท้ายของพรแต่ละข้อ ให้พูดว่า ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ และรู้สึกสำนึกคุณสำหรับพรนั้นเท่าที่คุณจะทำได้
   
   
2. ให้คุณฝึกรู้สึกว่าหากวันหนึ่งอยู่เหนือโลกแล้วได้มีโอกาสกลับมามองดูตัวเอง ให้ระลึกถึงสามเหตุการณ์ตลอดชีวิตของคุณ แล้วขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับช่วงเวลาเหล่านั้น
   
   
3. คิดถึงห้าหน้าที่ในร่างกายของคุณที่เป็นไปด้วยดี และขอบคุณสำหรับแต่ละหน้าที่ไปทีละอย่าง
   
   
4. เลือกสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับร่างกายหรือสุขภาพของคุณที่คุณต้องการปรับปรุง และใช้เวลาหนึ่งนาทีจินตนาการถึงสภาพร่างกายหรือสุขภาพของคุณในอุดมคติ จากนั้นให้ขอบคุณสำหรับสภาวะในอุดมคตินี้
   
   
5. ก่อนนอนให้คุณนำก้อนหินมหัศจรรย์มาถือไว้ในมือ แล้วกล่าว ขอบคุณ สำหรับเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้

ให้คุณระลึกถึงสุขภาพดีที่คุณได้รับ หรือเคยได้รับเปรียบเสมือนของขวัญ ให้ลองนึกและมองสิ่งรอบตัวอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด เหมือนกับขาตั้งที่เลี้ยงกล้องชั้นดีไว้อย่างสมดุลบนขาทั้งสามข้าง คืออยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้จากอดีต และช่วยสร้างอนาคต และหากเอาขาใดขาหนึ่งออก ขาตั้งกล้องย่อมล้มลง ขาตั้งที่ใช้งานได้ดีก็เปรียบเหมือนขาตั้งที่มีครบทั้งสาม

หากเราไม่อยู่กับปัจจุบัน เราจะไม่รู้สึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เรียนรู้จากอดีต เราจะยังไม่พร้อมสร้างอนาคต และถ้าหากเราไม่มีแผนสำหรับอนาคต เราจะเคว้งคว้าง

เมื่อเราจัดการกับชีวิตของตัวเองให้มีสมดุลบนขาตั้งทั้ง 3 แห่งปัจจุบัน อดีต และอนาคตแล้ว เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น และแน่นอนว่าเราจะรับมือกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ดีขึ้น